หากใครที่ติดตาม หรืออยู่ในแวดวงสกินแคร์อยู่แล้ว น่าจะพอทราบกันดีในเรื่องของสาร หรือส่วนผสมชนิดใดที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ ณ ขณะนั้น ซึ่งในช่วงนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สารที่มาแรงอยู่ตอนนี้คือ Retinal กับ Retinol นั่นเอง จะเห็นได้ว่า สาร 2 ชนิดนี้นั้นมีชื่อที่คล้ายคลึงกัน จนอาจจะทำให้บางคนเกิดการสับสนว่าเป็นสารชนิดเดียวกัน แต่ความจริงแล้ว สารทั้งคู่นั้นมีความแตกต่างกันอยู่ แล้วจะต่างกันอย่างไรบ้าง มาไขข้อสงสัยไปกับ Cosmina ได้เลย
Retinal และ Retinol คืออะไร
Retinal หรือ Retinaldehyde (เรตินาลดีไฮด์, C₂₀H₂₈O) เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอที่อยู่ในขั้นกลางระหว่าง Retinol และ Retinoic Acid โดยมีความสามารถในการออกฤทธิ์ได้รวดเร็วกว่าการใช้ Retinol เพราะต้องผ่านเพียงขั้นตอนเดียวในการเปลี่ยนเป็น Retinoic Acid ซึ่งมีแนวโน้มในการช่วยลดเลือนริ้วรอย และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดีกว่า Retinol ในบางกรณี
Retinol เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอที่อยู่ในกลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids) มีโครงสร้างเป็นวิตามินเอแอลกอฮอล์ (Vitamin A Alcohol, C₂₀H₃₀O) ซึ่งทำให้ต้องผ่านกระบวนการออกซิเดชัน (Oxidation) ภายในเซลล์ผิวหนังเพื่อเปลี่ยนเป็น Retinal (เรตินาล หรือ วิตามินเอ อัลดีไฮด์, Vitamin A Aldehyde) และต่อมาเปลี่ยนเป็น Retinoic Acid (เรติโนอิก แอซิด หรือ กรดวิตามินเอ, C₂₀H₂₈O₂) ซึ่งเป็นรูปแบบที่สามารถจับกับตัวรับในเซลล์ (Retinoic Acid Receptors: RARs) เพื่อออกฤทธิ์ทางชีวภาพ มีส่วนช่วยลดเลือนริ้วรอย สร้างคอลลาเจน และเร่งการผลัดเซลล์ผิว
กลไกการออกฤทธิ์ของ Retinal และ Retinol
การออกฤทธิ์ของ Retinal กับ Retinol ต่อผิวพรรณมีความแตกต่างกันในหลายแง่มุม เนื่องจากทั้งสองสารนี้ต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงในขั้นตอนภายในเซลล์ผิว โดยมีกลไกที่ต่างกัน ดังนี้
- Retinal
เป็นสารที่สามารถแปลี่ยนเป็น Retinoic Acid ได้อย่างรวดเร็วโดยการออกซิเดชันเพียงขั้นตอนเดียวโดย Retinal Dehydrogenase หรือ ALDH ทำให้ Retinal มี ความเร็วในการแสดงผลที่สูงกว่า และช่วยดูแลผิวได้หลายด้าน ได้แก่
– สร้างการหมุนเวียนของเซลล์ผิวใหม่ และลดการอุดตันที่รูขุมขน
– ลดการเกิดจุดด่างดำ รอยสิว และปรับผิวเรียบเนียนขึ้น
– เสริมสร้างคอลลาเจน และอิลาสตินในผิว ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น และกระชับมากขึ้น - Retinol
เมื่อทาลงบนผิวจะถูกดูดซึมเข้าสู่เซลล์ และผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงสองขั้นตอนในการแปลงเป็น Retinoic Acid ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพที่สามารถจับกับตัวรับ Retinoic Acid Receptor (RARs) ในเซลล์ผิว
– ขั้นตอนที่ 1 : Retinol ถูกเปลี่ยนเป็น Retinal ผ่านกระบวนการออกซิเดชัน ที่เกิดขึ้นในเซลล์โดยเอนไซม์ Retinol Dehydrogenase
– ขั้นตอนที่ 2 : Retinal ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในขั้นตอนแรกจะต้องผ่านการออกซิเดชันอีกครั้ง โดยเอนไซม์ Retinal Dehydrogenase หรือ Aldehyde Dehydrogenase (ALDH) เพื่อกลายเป็น Retinoic Acidเมื่อกลายเป็น Retinoic Acid แล้ว สารนี้จะสามารถจับกับตัวรับ RARs ในเซลล์ผิว (ทั้งในชั้น Epidermis และ Dermis) ส่งผลให้เกิดการทำงานในหลายกระบวนการ เช่น
– ช่วยให้เซลล์ผิวใหม่เกิดใหม่เร็วขึ้น และผลัดเซลล์เก่าออก ทำให้ผิวดูสดใส และลดการอุดตันของร่องขุมขน
– ปรับสภาพผิวให้ผิวดูเรียบเนียน และลดจุดด่างดำ
– สร้างคอลลาเจน ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น ลดริ้วรอย และกระชับขึ้น
ข้อควรระวังในการใช้ Retinal และ Retinol
ทั้ง Retinal กับ Retinol อยู่ในกลุ่มวิตามิน A โดยมีส่วนในเรื่องการผลัดเซลล์ผิว ซึ่งอาจจะทำให้ผิวบางลง ดังนั้นจึงมีสิ่งที่ควรระวังดังนี้
- ไม่ควรใช้คู่กับผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA, BHA, Vitamin C, Benzoyl Peroxide เพราะอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองได้
- ควรทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอก่อนออกข้างนอก เพราะผิวมีความบอบบาง ซึ่งอาจไวต่อแสง
- แนะนำให้ใช้แค่ตอนก่อนนอน และก่อนจะลงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Retinol และ Retinal ควรทามอยเจอร์ไรเซอร์เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นก่อน
หากท่านใดที่กำลังวางแผนทำแบรนด์เครื่องสำอางเป็นของตัวเอง สามารถมาปรึกษา #COSMINA ยินดีให้คำปรึกษา ฟรี!!! เพราะเราเป็นโรงงานรับผลิตเครื่องสำอางที่มีมาตรฐาน พร้อมกับมีประสบการณ์มากกว่า 46 ปี ดังนั้นมั่นใจได้ว่าท่านจะได้พบเจอกับคุณภาพ และบริการที่ประทับใจหากได้มาปรึกษากับเรา