ในโลกของการผลิตสกินแคร์ หนึ่งในคำถามที่ถูกหยิบยกขึ้นมาบ่อยครั้งคือ “สารสกัดจากพืช หรือสารสกัดสังเคราะห์ แบบไหนดีกว่ากัน” หลายคนอาจมีภาพจำว่าสารสกัดจากพืชต้องดีกว่าเพราะมาจากธรรมชาติ ขณะที่บางคนกลับเชื่อว่าสารสกัดสังเคราะห์ให้ผลลัพธ์ที่เสถียร และแม่นยำกว่า แล้วความจริงเป็นอย่างไร หาคำตอบได้ในบทความนี้ได้เลย
สารสกัดจากพืช และสารสกัดสังเคราะห์เป็นอย่างไร
สารสกัดจากพืช เป็นสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่สกัดจากพืช มักประกอบด้วยสารกลุ่มโพลีฟีนอล (Polyphenols), ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids), เทอร์พีนอยด์ (Terpenoids) และอัลคาลอยด์ (Alkaloids) มีคุณสมบัติด้านต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ และให้ความชุ่มชื้น โดยจะได้มาจากการใช้วิธีสกัดต่าง ๆ เช่น
- การสกัดด้วยตัวทำละลาย (Solvent Extraction) : ใช้แอลกอฮอล์ น้ำ หรือสารละลายอินทรีย์เพื่อดึงสารสำคัญออกมา
- การสกัดด้วย CO₂ Supercritical Fluid Extraction : ใช้คาร์บอนไดออกไซด์ภายใต้แรงดันสูงเพื่อสกัดสารสำคัญโดยไม่ต้องใช้สารเคมี
- การสกัดแบบเย็น (Cold Pressed Extraction) : นิยมใช้กับน้ำมันพืช เช่น น้ำมันอาร์แกน น้ำมันมะพร้าว เพื่อรักษาคุณค่าทางชีวภาพของสาร
หากสงสัยว่า สารสกัดจากพืช มีอะไรบ้าง ตัวอย่างที่พบได้บ่อยในสกินแคร์ เช่น สารสกัดจากชาเขียว, ว่านหางจระเข้, ขมิ้น, ทับทิม, หรือใบบัวบก ซึ่งแต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติในการบำรุงผิวที่แตกต่างกันไป
สารสกัดสังเคราะห์ คือสารที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นในห้องปฏิบัติการโดยเลียนแบบ หรือปรับปรุงจากโครงสร้างทางเคมีของสารธรรมชาติ ซึ่งกระบวนการสังเคราะห์สามารถควบคุมความบริสุทธิ์ และความเข้มข้นของสารได้ดี โดยมีวิธีการผลิตหลัก ๆ เช่น
- Chemical Synthesis : การใช้ปฏิกิริยาเคมีเพื่อสร้างสารออกฤทธิ์ เช่น การสังเคราะห์กรดไฮยาลูโรนิกจากแบคทีเรีย
- Biotechnological Fermentation : ใช้จุลินทรีย์หรือเอนไซม์ในการผลิตสาร เช่น การหมักไนอะซินาไมด์ (Niacinamide)
- Nanotechnology : พัฒนาอนุภาคนาโนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพซึมเข้าสู่ผิวในการผลิตสกินแคร์
เปรียบเทียบสารสกัดจากพืช และสารสกัดสังเคราะห์
สารสกัดจากพืช และสารสกัดสังเคราะห์มีข้อดี และข้อจำกัดที่แตกต่างกันทั้งในด้านประสิทธิภาพ, ความปลอดภัย, ความคงตัว ซึ่งส่งผลต่อการเลือกใช้ในการผลิตสกินแคร์ ดังนี้
- ประสิทธิภาพ
– สารสกัดจากพืช : มีฤทธิ์ทางชีวภาพที่หลากหลาย เนื่องจากพืชมีสารออกฤทธิ์หลายชนิดที่ทำงานร่วมกัน เช่น โพลีฟีนอล (Polyphenols) ในชาเขียวและองุ่น ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ แต่อาจต้องใช้เวลาในการเห็นผล เพราะสารสกัดจากพืชมักมีความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์ต่ำ สารสกัดจากพืช มีอะไรบ้าง ที่ให้ผลลัพธ์ทางผิวหนังจริง ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ สารสกัดจากใบบัวบกที่ช่วยสมานแผล และสารสกัดจากดอกคาโมมายล์ที่ช่วยปลอบประโลมผิว
– สารสกัดสังเคราะห์ : ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว และแม่นยำ เนื่องจากเป็นสารที่ถูกออกแบบมาให้มีโครงสร้าง และความเข้มข้นที่เหมาะสม เช่น กรดไฮยาลูโรนิก สามารถให้ความชุ่มชื้นได้ทันที แต่สารบางชนิดอาจต้องการการปรับสภาพผิว เช่น เรตินอลอาจทำให้เกิดการลอกของผิวในช่วงแรกของการใช้
- ความปลอดภัย
– สารสกัดจากพืช : อ่อนโยน และเข้ากับผิวได้ดี แต่ก็ต้องใส่ใจว่าพืชบางชนิดอาจมีน้ำมันหอมระเหย หรือสารก่อภูมิแพ้ อีกหนึ่งคำถามที่พบบ่อยคือ สารสกัดจากพืช มีอะไรบ้าง ที่ควรระวัง ? เช่น สารสกัดจากลาเวนเดอร์หรือทีทรีออยล์ ที่แม้จะมีคุณสมบัติดีแต่ก็อาจกระตุ้นการแพ้ในผิวบางประเภทได้
– สารสกัดสังเคราะห์ : สามารถออกแบบให้ปลอดภัย และควบคุมการแพ้ได้ ผ่านการทดสอบทางคลินิก บางชนิดอาจระคายเคืองได้ เช่น เรตินอล, กรดซาลิไซลิก - ความคงตัว
– สารสกัดจากพืช : มีข้อจำกัดด้านความเสถียร เช่น วิตามิน C จากธรรมชาติที่เสื่อมสภาพง่าย การเลือกใช้จึงควรดูว่ามีการปรับสูตรหรือใช้เทคโนโลยีช่วยรักษาคุณภาพหรือไม่ โดยเฉพาะในกรณีของสารที่ไม่เสถียร สำหรับใครที่อยากรู้ว่า สารสกัดจากพืช มีอะไรบ้าง ที่เหมาะกับผิวแพ้ง่าย และคงตัวได้ดี เช่น สารสกัดจากแตงกวา หรือว่านหางจระเข้ที่มักถูกใช้ในผลิตภัณฑ์แบบไม่มีน้ำหอม
– สารสกัดสังเคราะห์ : มีความเสถียรสูง เนื่องจากสามารถปรับโครงสร้างทางเคมีให้ทนต่อสภาวะแวดล้อมได้ เช่น เรตินอลที่ผ่านการ Encapsulation จะมีความคงตัวมากขึ้น และระคายเคืองน้อยลง
หากท่านใดที่กำลังวางแผนผลิตสกินแคร์เป็นของตัวเอง แต่ยังไม่แน่ใจว่าสารสกัดพืช หรือสังเคราะห์จะตอบโจทย์แบรนด์ของท่านมากกว่ากัน หรืออยากรู้เพิ่มเติมว่า สารสกัดจากพืช มีอะไรบ้าง ที่เหมาะกับผลิตภัณฑ์ของท่าน สามารถมาปรึกษา #COSMINA ยินดีให้คำปรึกษา ฟรี!!! เพราะเราเป็นโรงงานรับผลิตครีม เวชสำอาง และสกินแคร์ระดับพรีเมียมมาตรฐานสากล พร้อมประสบการณ์กว่า 46 ปี มั่นใจได้ในคุณภาพ และคำแนะนำที่ครอบคลุมทุกมิติของการสร้างแบรนด์