เมื่อเริ่มต้นสร้างแบรนด์เครื่องสำอาง หนึ่งในสิ่งที่เจ้าของแบรนด์มักมองข้ามคือการตรวจสอบมาตรฐานภายในของโรงงานรับผลิตเครื่องสำอาง ว่าได้คุณภาพ และปลอดภัยจริงหรือไม่ ซึ่งเบื้องหลังความน่าเชื่อถือเหล่านี้มักเกี่ยวข้องกับกระบวนการ QA และ QC แต่หลายคนอาจยังสับสนว่า QA กับ QC ต่างกันอย่างไร บทความนี้ Cosmina จะพาคุณไปทำความเข้าใจให้ชัด เพื่อไม่ให้ตัดสินใจพลาดตอนเลือกโรงงานรับผลิตเครื่องสำอาง
ความหมายของ QA และ QC
QA (Quality Assurance) หรือการประกันคุณภาพ คือกระบวนการวางระบบ และควบคุมขั้นตอนทั้งหมดในสายการผลิตเพื่อให้มั่นใจว่า สินค้าที่ผลิตออกมามีคุณภาพสม่ำเสมอ และตรงตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ตั้งแต่แรก โดย QA เป็นการทำงานเชิงระบบ และเชิงป้องกัน มุ่งเน้นการป้องกันข้อผิดพลาดไม่ให้เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นทาง จนถึงขั้นตอนการส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพสม่ำเสมอ โดยหน้าที่หลักของฝ่าย QA คือ
- กำหนดมาตรฐานการทำงาน เช่น การจัดทำเอกสารมาตรฐานการผลิต (SOP) หรือจะเป็น Work Instruction (WI)
- ตรวจสอบการปฏิบัติงานว่าทุกแผนกดำเนินงานตามมาตรฐานหรือไม่ เช่น ฝ่ายผลิต ฝ่ายคลังสินค้า ฝ่ายบรรจุภัณฑ์
- วิเคราะห์ และประเมินความเสี่ยง เช่น วัตถุดิบที่มีโอกาสปนเปื้อน กระบวนการผลิตที่เสี่ยงต่อความผิดพลาด
- อบรมบุคลากร เพื่อสร้างความเข้าใจในมาตรฐาน และวิธีการควบคุมคุณภาพ
- ตรวจติดตามภายใน (Internal Audit) เพื่อหาจุดบกพร่องของระบบก่อนส่งตรวจโดยหน่วยงานภายนอก เช่น อย., ISO
- วางแผนการปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
QC (Quality Control) หรือการควบคุมคุณภาพ เป็นกระบวนการตรวจสอบ ตรวจวัด และคัดกรองผลิตภัณฑ์ในทุกขั้นตอนการผลิต เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าที่ได้ตรงตามมาตรฐานคุณภาพที่กำหนด และไม่มีข้อบกพร่องก่อนส่งถึงมือผู้บริโภค อธิบายง่าย ๆ QC คือด่านสุดท้ายที่คอยจับผิด และคัดกรองสินค้าก่อนที่จะปล่อยออกจากโรงงาน หน้าที่หลักของฝ่าย QC คือ
- ตรวจสอบวัตถุดิบ เช่น ทดสอบความบริสุทธิ์ ความเข้มข้น หรือการปนเปื้อนในวัตถุดิบก่อนนำไปผลิต
- ตรวจสอบผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป เช่น ทดสอบค่า pH, ทดสอบการกระจายตัวของเม็ดสี, ตรวจสอบปริมาณเชื้อจุลินทรีย์
- ตรวจสอบบรรจุภัณฑ์ เช่น ตรวจสอบความแข็งแรง รอยรั่ว ความเรียบร้อยของฉลาก และบรรจุภัณฑ์
- บันทักผลการตรวจสอบ และรายงานปัญหาให้ QA หรือฝ่ายผลิตทราบ เพื่อพิจารณาแก้ไขก่อนปล่อยสินค้า
ตัวอย่าง QA กับ QC ต่างกันอย่างไรในโรงงานรับผลิตเครื่องสำอาง
การเข้าใจว่า QA กับ QC ต่างกันอย่างไร มีความสำคัญตั้งแต่การออกแบบระบบการผลิตไปจนถึงการควบคุมสินค้าให้ออกมามีคุณภาพ
ตัวอย่างงาน QA ที่ดี
- จัดทำมาตรฐานเอกสาร (GMP Document Control)
– เขียน SOP (Standard Operating Procedures) เช่น วิธีการผสมครีม วิธีทำความสะอาดเครื่องจักร วิธีเก็บตัวอย่างสินค้า
– ออกแบบ Master Formula Record (MFR) คือสูตรผลิตที่กำหนดส่วนผสม อุณหภูมิ รอบการผสม ฯลฯ
– ทำ Batch Record หรือเอกสารบันทึกข้อมูลการผลิตทุกล็อต เพื่อสามารถย้อนตรวจสอบได้หากมีปัญหา - การวางแผนควบคุมความเสี่ยง
– ประเมินความเสี่ยงในแต่ละขั้นตอน เช่น จุดไหนเสี่ยงปนเปื้อน จุดไหนเสี่ยงผิดสูตร แล้ววางแผนป้องกัน
– มีแผนรับมือฉุกเกฉิน เช่นในกรณีที่สินค้าผิดพลาด ต้องหยุดการผลิตทันที พร้อมดำเนินการสืบหาสาเหตุ
- การอบรมพนักงาน
– จัดอบรมให้พนักงานเข้าใจเรื่อง GMP, การแต่งกาย การทำงานในห้องสะอาด
– อัปเดตความรู้ใหม่ ๆ ให้กับฝ่ายผลิต และ QC เช่น วิธีเก็บตัวอย่าง หรือวิธีตรวจสอบเชื้อจุลินทรีย์ที่ได้มาตรฐาน
- การตรวจประเมินคุณภาพภายใน
– QA ต้องวางแผนตรวจสอบโรงงานด้วยตนเอง เช่น ตรวจว่าผลิตภัณฑ์ตรงตามขั้นตอนที่กำหนดหรือไม่
– ตรวจสอบว่าทุกเอกสารถูกต้อง และมีการเก็บรักษาอย่างเหมาะสม เช่น มีการเซ็นชื่อ ตรวจสอบวันหมดอายุวัตถุดิบ ฯลฯ
ตัวอย่างงาน QC ที่ดี
- การตรวจสอบวัตถุดิบ
– ตรวจสอบคุณสมบัติ เช่น สี กลิ่น ความหนืด ความถ่วงจำเพาะของวัตถุดิบ
– เก็บตัวอย่างจากวัตถุดิบที่เข้ามาใหม่ทุกล็อต และเก็บไว้เป็น Retention Sample เพื่อเทียบในอนาคตหากมีปัญหา
- การตรวจสอบระหว่างการผลิต
– เก็บตัวอย่างครีมจากถังระหว่างผสม มาตรวจสอบ เช่น ค่า pH, ความหนืด, สี, ความสม่ำเสมอของเนื้อผลิตภัณฑ์
– ตรวจสอบอุณหภูมิ และรอบการผสมตามที่กำหนดใน Master Formula ว่าตรงหรือไม่
- การตรวจสอบผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป
– ทดสอบตัวอย่างครีมก่อนบรรจุ เช่น วัดค่า pH, ทดสอบการปนเปื้อนจุลินทรีย์ (Microbial Limit Test)
– ทดสอบลักษณะทางกายภาพ เช่น สี กลิ่น ความคงตัว
- การตรวจสอบบรรจุภัณฑ์
– ตรวจสอบความสมบูรณ์ของขวด กระปุก หรือซอง เช่น ไม่มีรอยแตก รั่ว
– ตรวจสอบฉลากว่าข้อมูลครบถ้วน เช่น เลข อย. วันผลิต วันหมดอายุ ข้อความเตือน ฯลฯ
- การบันทึก และรายงานผล
– QC ต้องบันทึกข้อมูลการตรวจสอบทุกครั้ง หากพบปัญหา ต้องรายงานไปยังฝ่าย QA หรือฝ่ายผลิตเพื่อแก้ไขทันที
– เก็บตัวอย่างสินค้าแต่ละล็อตไว้ เพื่ออ้างอิงหากมีปัญหาในอนาคต
การเข้าใจว่า QA กับ QC ต่างกันอย่างไร คือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้เจ้าของแบรนด์เลือกโรงงานรับผลิตเครื่องสำอางได้อย่างมั่นใจ เพราะ QA คือการวางระบบป้องกันปัญหา ส่วน QC คือการตรวจจับข้อผิดพลาดให้ได้ทันท่วงที ทั้งสองส่วนต้องทำงานร่วมกัน เพื่อให้ได้สินค้าคุณภาพตรงตามมาตรฐาน หากเจ้าของแบรนด์ที่รู้ทันเรื่องนี้ จะช่วยลดความเสี่ยงผลิตพลาด และสร้างแบรนด์ได้มั่นคงมากขึ้น
หากท่านใดที่กำลังวางแผนทำแบรนด์เครื่องสำอางเป็นของตัวเอง สามารถมาปรึกษา #COSMINA ยินดีให้คำปรึกษา ฟรี!!! เพราะเราเป็นโรงงานรับผลิตเครื่องสำอางที่มีมาตรฐาน พร้อมกับมีประสบการณ์มากกว่า 46 ปี ดังนั้นมั่นใจได้ว่าท่านจะได้พบเจอกับคุณภาพ และบริการที่ประทับใจหากได้มาปรึกษากับเรา