อุตสาหกรรมความงามของไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่ในประเทศเท่านั้น แต่ยังขยายตัวไปสู่ตลาดโลกอย่างน่าจับตามอง การส่งออก Skincare ได้กลายเป็นช่องทางสำคัญในการสร้างรายได้ และชื่อเสียงให้กับแบรนด์ไทยจำนวนมาก การสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพจากโรงงานผลิตสกินแคร์ที่ได้มาตรฐาน ทำให้ผลิตภัณฑ์จากประเทศไทยเป็นที่ยอมรับ และเป็นที่ต้องการในตลาดต่างประเทศมากขึ้น บทความนี้จะมาเปิดเผยถึงเหตุผลที่สกินแคร์ไทยเป็นที่นิยม และเจาะลึกถึงประเทศปลายทางยอดนิยมในปี 2025 ที่ผู้ประกอบการควรให้ความสนใจ
ทำไมการส่งออกสกินแคร์ไทย เป็นที่ต้องการในต่างประเทศ
ด้วยปัจจัยหลายประการเหล่านี้ทำให้ผลิตภัณฑ์ไทยเป็นที่ต้องการในตลาดต่างประเทศ และช่วยผลักดันให้การส่งออก SKincare ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
- ส่วนผสมจากธรรมชาติ และสมุนไพรไทยที่เป็นเอกลักษณ์ : ปัจจุบันสกินแคร์ไทยหลายแบรนด์มีการใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ และสมุนไพรไทยมากขึ้น เช่น ขมิ้น มะขาม มะพร้าว ซึ่งส่วนผสมเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภคที่มองหาผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ แต่ยังให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ และปลอดภัยต่อผิว
- มาตรฐานการผลิตระดับสากล : โรงงานผลิตสกินแคร์ในประเทศไทยจำนวนมากได้รับการรับรองมาตรฐานสากล เช่น GMP และ ISO ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมามีคุณภาพ และปลอดภัยตามหลักสากล ทำให้ผู้บริโภคในต่างประเทศมั่นใจในสินค้าของไทยมากขึ้น
- ราคาที่เข้าถึงง่าย : เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ยุโรป หรืออเมริกา สกินแคร์ไทยมีราคาที่เข้าถึงง่ายมากกว่า ซึ่งนี่เป็นจุดแข็งที่ทำให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่มีกำลังซื้อปานกลางถึงสูงที่ต้องการผลิตภัณฑ์คุณภาพดีในราคาที่สมเหตุสมผล ซึ่งช่วยผลักดันให้การส่งออก SKincare เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ
5 ประเทศ ที่นิยมส่งออกสกินแคร์ไทย
ในปี 2025 นี้ มีหลายประเทศที่กลายเป็นปลายทางยอดนิยมสำหรับการส่งออก Skincare ของแบรนด์ไทย โดยมีลิสต์ประเทศต่าง ๆ ดังนี้
- เวียดนาม
เวียดนามถือเป็นหนึ่งในตลาดสกินแคร์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในอาเซียน ด้วยจำนวนประชากรวัยรุ่น และวัยทำงานที่ใส่ใจเรื่องผิวพรรณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้บริโภคเวียดนามให้ความเชื่อมั่นในแบรนด์ไทยจากภาพลักษณ์ที่ดูน่าเชื่อถือ มีคุณภาพ และราคาเข้าถึงได้ สกินแคร์ไทยจึงได้รับความนิยมในหมวดไวท์เทนนิ่ง กันแดด และสิว โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีสารสกัดจากธรรมชาติ
- จีน
จีนยังคงเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่น่าสนใจอย่างมาก แต่การส่งออกสกินแคร์เข้าไปจำหน่ายจำเป็นต้องเข้าใจระบบการลงทะเบียน (CFDA / NMPA) รวมถึงข้อกำหนดเรื่อง Animal Testing (แม้ปัจจุบันมีการผ่อนปรนในบางประเภท) จุดแข็งของแบรนด์ไทยในตลาดจีนคือความเป็นธรรมชาติ ราคาเหมาะสม และคอนเซ็ปต์ที่ตอบโจทย์ความงามแบบเอเชีย แต่การจะเจาะตลาดจีนต้องมีการวางกลยุทธ์ด้านแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Little Red Book, WeChat และ Tmall
- อินโดนีเซีย
อินโดนีเซียเป็นตลาดที่มีประชากรมุสลิมมาก ความต้องการสินค้าสกินแคร์ที่มีเครื่องหมายฮาลาลจึงสูง แบรนด์ไทยที่มีการรับรอง Halal มีโอกาสเจาะตลาดนี้ได้ดีโดยเฉพาะกลุ่มสินค้าราคากลาง-ย่อมเยา จุดเด่นของอินโดนีเซียคือพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปิดรับเทรนด์ใหม่ผ่านโซเชียลมีเดีย และชื่นชอบสินค้าจากไทยที่มีภาพลักษณ์เป็นมิตร ใช้แล้วเห็นผล
- ฟิลิปปินส์
ผู้บริโภคชาวฟิลิปปินส์มีความใกล้ชิดกับวัฒนธรรมความงามของไทยผ่าน YouTube, TikTok และแพลตฟอร์มอื่น ๆ แบรนด์ไทยได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภควัยรุ่น และวัยทำงาน โดยเฉพาะสินค้าที่เน้นผลลัพธ์ เช่น ลดสิว ผิวกระจ่างใส และกันแดด เนื่องจากสภาพอากาศร้อนจัดคล้ายไทย สินค้าที่ออกแบบมาเพื่ออากาศเมืองร้อนจึงตอบโจทย์มาก
- ซาอุดีอาระเบีย / ตะวันออกกลาง
ตลาดกลุ่มนี้มีศักยภาพสูงในกลุ่มผู้บริโภคกำลังซื้อสูง และเริ่มเปิดรับสินค้าไทยมากขึ้น โดยเฉพาะแบรนด์ที่เน้นพรีเมียม ส่วนผสมธรรมชาติ และปราศจากแอลกอฮอล์/น้ำหอม นอกจากนี้ การมีใบรับรอง Halal ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จำเป็น โดยตลาดนี้นิยมความสวยงามแบบผิวสว่างใส และให้ความชุ่มชื้น
การส่งออก Skincare ของแบรนด์ไทยในปี 2025 ถือได้ว่ามีแนวโน้มที่ดี ด้วยจุดแข็งด้านคุณภาพ ส่วนผสมจากธรรมชาติ ราคาที่เข้าถึงได้ และที่สำคัญหากเลือกผลิตกับโรงงานผลิตสกินแคร์ที่ได้มาตรฐานสากล และเข้าใจแนวโน้มตลาดโลกจะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ ผู้ประกอบการควรศึกษาตลาดในกลุ่มประเทศที่สนใจให้ดี เพื่อคว้าโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจ
หากท่านใดที่กำลังวางแผนทำแบรนด์เครื่องสำอางเป็นของตัวเอง สามารถมาปรึกษา #COSMINA ยินดีให้คำปรึกษา ฟรี!!! เพราะเราเป็นโรงงานรับผลิตเครื่องสำอางที่มีมาตรฐาน พร้อมกับมีประสบการณ์มากกว่า 46 ปี ดังนั้นมั่นใจได้ว่าท่านจะได้พบเจอกับคุณภาพ และบริการที่ประทับใจหากได้มาปรึกษากับเรา