ตั้งแต่เข้าสู่ยุคที่ชีวิตประจำวันของเราขาดหน้ากากอนามัยไม่ได้อีกต่อไปเนื่องจากโรคระบาดและฝุ่น PM 2.5 การใส่หน้ากากอนามัยนั้น นับว่าเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปให้กับผิวจากปกติ เพราะผิวใต้พื้นที่หน้ากากนั้นจะมีการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ ความชื้น การปิดทับ การเสียดสีในขณะที่เราขยับ หรือพูด ทำให้เกิดความเครียดของผิว ให้ผิวอ่อนแอลง เสียความชุ่มชื้นง่ายขึ้น นำไปสู่การเกิดการอักเสบของผิวที่ง่ายขึ้น อีกทั้งสภาพแวดล้อมภายใต้หน้ากากยังเอื้อต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่อาจจะไม่ได้เป็นมิตรกับผิวอีกด้วย
Maskne คำที่ได้รับการบัญญัติใน Urban Dictionary มากจากการรวมกันของ Mask+Acne ซึ่งหมายถึง สิวที่ขึ้นตามแนวที่หน้ากากอนามัยที่กดทับบนผิวหน้า Maskne จึงเป็นสิวที่สามารถพบได้ตามบริเวณรอบคาง รอบปาก สันจมูก หรือไปจนถึงบริเวณหน้าผากนั่นเอง ทีนี้เราควรจะทำอย่างไรเมื่อฝุ่นก็กลัว ไวรัสก็กลัว แต่สิวก็ไม่อยากเป็น สรุปรวมแล้วเป็นสองวิธี ได้แก่
1. ควรเลือกใช้หน้ากากอนามัยแบบใช้แล้วทิ้ง (หากไม่ขัดสนจนเกิดไป) และควรเลือกวัสดุที่นุ่ม และไซส์ที่พอดี ไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป หากเลือกใช้เป็นหน้ากากผ้าก็ควรเป็นผ้าที่ไม่หยาบจนเกินไป เพื่อลดการเสียดสี อีกทั้งต้องทำความสะอาดซักเป็นประจำ และล้างน้ำยาทำความสะอาดให้เกลี้ยง ป้องกันไม่ให้ผิวเกิดระคายเคือง ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วแมสก์หรือหน้ากากอนามัยบางชนิดนั้น ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง หรือถึงแม้จะเป็นแบบผ้าก็ควรซักทุกวัน เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของสิ่งสกปรก ไม่อย่างนั้นแทนที่จะเป็นการป้องกัน จะกลายเป็นว่าคุณนำสิ่งสกปรกและเชื้อโรคต่างๆมาติดบนใบหน้าของคุณแทน
2. งดเว้นการแต่งหน้าแบบจัดเต็ม และหมั่นรักษาความสะอาดผิวหน้า เพราะการแต่งหน้าร่วมกับการใส่หน้ากากอนามัย เป็นการทำร้ายผิว มีผลให้เกิดสิวอุดตัน ซึ่งสามารถลามมาเป็นสิวอักเสบได้ ดังนั้นการทำความสะอาดผิวหน้า เช็ดเครื่องสำอางให้สะอาดหมดจนเป็นประจำทุกวัน จะช่วยลดปัจจัยสำคัญหนึ่งอย่างที่เสี่ยงให้ผิวของคุณเกิดสิวได้